เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อินทรียวรรค อินทรีย์ ๔ พละ ๔ อสงไขยแห่งกัป โรค ๒ อย่าง โรคของบรรพชิต ๔ อย่าง ปัจจัยการเกิดขึ้นแห่งกาย 2191
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑

อินทรียวรรค
1 อินทรีย์ ๔
2 พละ ๔ (นัยยะที่ ๑)
3 พละ ๔ (นัยยะที่ ๒)
4 พละ ๔ (นัยยะที่ ๓)
5 อสงไขยแห่งกัป ๔ ประการ
6 โรค ๒ อย่าง
7 โรคของบรรพชิต ๔ อย่าง
8 ธรรม ๔ ประการ ที่ทำให้เสื่อมจาก กุศลธรรม
9 ธรรม ๔ ประการ ที่ไม่ทำให้เสื่อมจาก กุศลธรรม
10 พระอานนท์อนุเคราะห์ภิกษุณีอาพาธ
11 ปัจจัยการเกิดขึ้นแห่งกาย ๔ อย่าง
12 ก็พระสุคตเป็นไฉน ก็วินัยของพระสุคตเป็นไฉน
13 เหตุแห่งความเสื่อมของพระสัทธรรม
14 เหตุแห่งความตั้งมั่นของพระสัทธรรม

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๗-๑๗๕
อินทรียวรรคที่ ๑

1)
อินทรีย์ ๔

           [๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ
อินทรีย์คือศรัทธา ๑
อินทรีย์คือวิริยะ ๑
อินทรีย์คือสมาธิ ๑
อินทรีย์คือปัญญา ๑
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๔ ประการนี้แล

2)
พละ ๔ (นัยยะที่ ๑)

           [๑๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ
พละคือศรัทธา ๑
พละคือวิริยะ ๑
พละคือสมาธิ ๑
พละคือปัญญา ๑
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้แล

3)
พละ ๔ (นัยยะที่ ๒)

           [๑๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ
พละคือปัญญา ๑
พละคือวิริยะ ๑
พละคือกรรมอันหาโทษมิได้ ๑
พละคือการสงเคราะห์ ๑
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้แล

4)
พละ ๔ (นัยยะที่ ๓)

           [๑๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
พละคือสติ ๑
พละคือสมาธิ ๑
พละคือกรรมอันหาโทษมิได้ ๑
พละคือการสงเคราะห์ ๑
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้แล

           [๑๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
พละคือการพิจารณาหาทาง ๑
พละคือการบำเพ็ญ ๑
พละคือกรรมอันหาโทษมิได้ ๑
พละคือการสงเคราะห์ ๑
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ ประการนี้แล

5)
อสงไขยแห่งกัป ๔ ประการ

           [๑๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสงไขยแห่งกัป ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด สังวัฏกัป ตั้งอยู่ เมื่อนั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับได้ว่า เท่านี้ ปี เท่านี้ร้อยปี เท่านี้พันปี หรือเท่านี้แสนปี

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด สังวัฏฏัฏฐายีกัป ตั้งอยู่ เมื่อนั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับ ได้ว่าเท่านี้ปี เท่านี้ร้อยปี เท่านี้พันปี หรือเท่านี้แสนปี

           ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อใด วิวัฏกัป ตั้งอยู่ เมื่อนั้น ใครๆ ไม่อาจนับได้ว่า เท่านี้ปี เท่านี้ร้อยปีเท่านี้พันปี หรือเท่านี้แสนปี

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด วิวัฏฏัฏฐายีกัป ตั้งอยู่เมื่อนั้น ใครๆ ไม่อาจนับได้ว่า เท่านี้ปี เท่านี้ร้อยปี เท่านี้พันปี หรือเท่านี้แสนปี

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสงไขยแห่งกัป ๔ ประการนี้แล

6)
โรค ๒ อย่าง

           [๑๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โรค ๒ อย่าง นี้ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ
-โรคทางกาย ๑
-โรคทางใจ ๑


           ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคด้วยโรคทางกาย ตลอดปีหนึ่ง มีปรากฏ ผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคตลอด ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง ๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง๔๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ผู้ปฏิญาณความไม่มีโรค แม้ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีบ้าง มีปรากฏ

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดปฏิญาณความไม่มีโรคทางใจ แม้ครู่หนึ่งสัตว์ เหล่านั้นหาได้ยากในโลก เว้นจากพระขีณาสพ

7)
โรคของบรรพชิต ๔ อย่าง

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย โรคของบรรพชิต ๔ อย่างนี้ ๔ อย่างเป็นไฉน
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย
๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มักมาก เป็นผู้คับแค้น ไม่สันโดษ
ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ตามมีตามได้ภิกษุนั้น

๒ เมื่อเป็นผู้มักมาก มีความคับแค้น ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และ คิลาน ปัจจัย เภสัชบริขาร ตามมีตามได้แล้ว ย่อมตั้งความปรารถนาลามก เพื่อให้ได้ ความ ยกย่อง เพื่อให้ได้ลาภสักการะ และความ สรรเสริญ

๓ ภิกษุนั้นวิ่งเต้น ขวนขวาย พยายามเพื่อให้ได้ความยกย่อง เพื่อให้ได้ลาภ สักการะ และความสรรเสริญ

๔ เธอเข้าไป หาตระกูลทั้งหลาย เพื่อให้เขานับถือ ย่อมนั่ง [ในตระกูล]เพื่อให้เขานับถือ พูดธรรม เพื่อให้เขานับถือ กลั้นอุจจาระปัสสาวะเพื่อให้เขานับถือ

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย โรคของบรรพชิต ๔ อย่างนี้แล

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักไม่ เป็นผู้มีความมักมาก มีจิตคับแค้น ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลาน ปัจจัยเภสัชบริขาร จักไม่ตั้งความปรารถนาลามก เพื่อให้ได้ความยกย่อง เพื่อให้ได้ลาภ สักการะ และความสรรเสริญ จักไม่วิ่งเต้น จักไม่ขวนขวาย จักไม่พยายามเพื่อให้ได้ ความยกย่อง เพื่อให้ได้ลาภสักการะ และความสรรเสริญ จักเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว ระหายต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดดและสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย ต่อถ้อยคำ อันหยาบคายร้ายแรงต่างๆ เราจักเป็นผู้อดกลั้นต่อเวทนาทางสรีระ ที่บังเกิดขึ้น อันเป็นทุกข์ กล้าแข็ง เผ็ดร้อนไม่เป็นที่ชื่นชม ไม่เป็นที่พอใจ อาจปลงชีวิตเสียได้            ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล

8)
ธรรม ๔ ประการ ที่ทำให้เสื่อมจากกุศลธรรม

           [๑๕๘] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตร เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้มีอายุ ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม พิจารณาเห็นธรรม ๔ ประการในตน ผู้นั้นพึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย การมีธรรม ๔ ประการอยู่ในตนนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นความเสื่อม

ธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน คือ
- ความเป็นผู้มีราคะ ไพบูลย์ ๑
- ความเป็นผู้มีโทสะไพบูลย์ ๑
- ความเป็นผู้มี โมหะไพบูลย์ ๑
- และไม่มีปัญญาจักษุก้าวไปในฐานะ และอฐานะอันลึกซึ้ง ๑

           ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นภิกษุ หรือภิกษุณีก็ตาม ย่อม พิจารณา เห็นธรรม ๔ ประการนี้ในตน ผู้นั้นพึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า เราย่อมเสื่อม จากกุศลธรรมทั้งหลาย การมีธรรม ๔ ประการอยู่ในตนนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็น ความเสื่อม

9)
ธรรม ๔ ประการ ที่ไม่ทำให้เสื่อมจากกุศลธรรม

           ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นภิกษุ หรือภิกษุณีก็ตาม พิจารณา เห็นธรรม ๔ ประการในตนผู้นั้น พึงถึงความตกลงใจ ในข้อนี้ว่า เราไม่เสื่อมจาก กุศลธรรม ทั้งหลาย การมีธรรม ๔ ประการอยู่ในตนนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นความเสื่อม

ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

-ความเป็นผู้มีราคะเบาบาง ๑
-ความเป็นผู้มี โทสะเบาบาง ๑
-ความเป็นผู้มีโมหะเบาบาง ๑
-และมีปัญญาจักษุก้าวไปในฐานะ และ อฐานะอันลึกซึ้ง ๑

           ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นภิกษุ หรือภิกษุณีก็ตาม พิจารณา เห็นธรรม ๔ ประการนี้ในตน ผู้นั้นพึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า เราไม่เสื่อมจากกุศล ธรรมทั้งหลาย การมีธรรม ๔ ประการอยู่ ในตนนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นความ เสื่อม

10)
พระอานนท์อนุเคราะห์ภิกษุณีอาพาธ

           [๑๕๙] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งเรียกบุรุษคนหนึ่งมาว่า บุรุษผู้เจริญ พ่อจงมาพ่อจงเข้าไปหา พระผู้เป็นเจ้าอานนท์ จงไหว้เท้าพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ ด้วยเศียรเกล้าตามคำของเราว่า

           ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ภิกษุณีชื่อนี้กำลังอาพาธ ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก นางย่อมไหว้เท้าของพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ ด้วยเศียรเกล้า และพ่อจงกล่าวอย่างนี้ว่า

           ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปหาภิกษุณีนั้น ยังสำนักของภิกษุณีนั้นด้วยเถิด บุรุษนั้นรับคำภิกษุณีนั้นแล้ว เข้าไป หาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่งณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบเรียน ท่านพระอานนท์ว่า

           ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุณีชื่อนี้ กำลังอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก นางไหว้ เท้า ของพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ด้วยเศียรเกล้า และกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาสขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปหาภิกษุณีนั้น ยังสำนักของนางภิกษุณีด้วยเถิด ท่านพระอานนท์รับคำด้วยดุษณีภาพ

           ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ครองผ้าในเวลาเช้า ถือบาตรและจีวร เข้าไปยัง สำนักของนางภิกษุณีภิกษุณีนั้น ได้เห็นท่านพระอานนท์ มาแต่ไกลแล้ว จึงนอนคลุมผ้า ตลอดศีรษะอยู่บนเตียง

11)
ปัจจัยการเกิดขึ้นแห่งกาย ๔ อย่าง

           ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปหาภิกษุณีนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุณีนั้นว่า ดูกรน้องหญิง
- กายนี้เกิดขึ้นด้วย อาหาร อาศัยอาหารแล้วพึงละอาหารเสีย
- กายนี้เกิดขึ้นด้วย ตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละตัณหาเสีย
- กายนี้เกิดขึ้นด้วย มานะ อาศัยมานะแล้วพึงละมานะเสีย
- กายนี้เกิดขึ้นด้วย เมถุน ควรละเมถุนเสีย การละเมถุน

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เสตุฆาต

           ดูกรน้องหญิง ก็คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร อาศัยอาหารแล้ว พึงละอาหารเสีย ดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

           ดูกรน้องหญิง@๑ การฆ่ากิเลสด้วยอริยมรรค ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดย แยบคายแล้ว บริโภคอาหาร ไม่บริโภคเพื่อเล่น ไม่บริโภคเพื่อมัวเมา ไม่บริโภคเพื่อ ประเทืองผิว ไม่บริโภคเพื่อประดับบริโภคเพียง เพื่อความตั้งอยู่แห่งกายนี้ เพื่อยัง อัตภาพ ให้เป็นไป เพื่อระงับความหิวกระหาย เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่า ด้วยการบริโภคนี้เราจักกำจัดเวทนาเก่าได้ด้วย และจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิด ความดำเนินไปได้ ความไม่มีโทษ และความผาสุก จักมีแก่เรา สมัยต่อมา ภิกษุนั้น อาศัยอาหารแล้วละอาหารเสียได้

           ดูกรน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร อาศัยอาหาร แล้วพึง ละอาหารเสีย ดังนี้ เราอาศัยข้อนี้กล่าว

            ดูกรน้องหญิงก็คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้น ด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้ว พึงละตัณหาเสียดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าว

           ดูกรน้องหญิง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้ยินว่า ภิกษุชื่อนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ เธอคิดอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ แม้เราจักกระทำให้แจ้ง ซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ดังนี้ สมัยต่อมา เธออาศัยตัณหา แล้วละตัณหาเสียได้

           ดูกรน้องหญิง คำที่กล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละเสีย ดังนี้เราอาศัยข้อนี้กล่าว

           ดูกรน้องหญิง ก็คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยมานะ อาศัยมานะ แล้วพึงละ มานะเสีย ดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าว

           ดูกรน้องหญิงภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ได้ยินว่า ภิกษุชื่อนี้กระทำให้แจ้ง ซึ่ง เจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไปด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ก็ท่านผู้มีอายุชื่อนั้น กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ ไฉนเราจักกระทำไม่ได้ สมัยต่อมา เธออาศัยมานะแล้วย่อมละมานะเสียเอง

           ดูกรน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยมานะ อาศัยมานะแล้วพึงละ มานะเสีย ดังนี้เราอาศัยข้อนี้กล่าว

           ดูกรน้องหญิง กายนี้เกิดขึ้นด้วยเมถุน ควรละเมถุนเสียการละเมถุน
           พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เสตุฆาต ดังนี้

           ครั้งนั้นแล ภิกษุณีนั้นลุกขึ้นจากเตียง กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง หมอบลงแทบเท้าของท่านพระอานนท์ ด้วยเศียรเกล้า แล้วกล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นคนพาล เป็นคนหลงไม่ฉลาด ได้ล่วงเกินไปแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ จงยกโทษแก่ดิฉันซึ่งได้กระทำอย่างนี้ เพื่อสำรวมต่อไป ท่านพระอานนท์กล่าวว่า เอาเถอะน้องหญิ งเธอเป็นคนพาล เป็นคนหลง ไม่ฉลาด ได้ล่วงเกินไปแล้ว เมื่อเธอซึ่งได้ทำอย่างนี้ เห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืน ตามธรรม เราย่อมยกโทษให้เธอ

           ดูกรน้องหญิง การเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความ สำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญ ในวินัยของพระอริยะ

12)
ก็พระสุคตเป็นไฉน ก็วินัยของพระสุคตเป็นไฉน

           [๑๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสุคตหรือวินัยของพระสุคต ยังดำรงอยู่ในโลก พึงเป็นไปเพื่อเกื้อกูล แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระสุคตเป็นไฉน ตถาคตอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็น สารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้วเป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้คือพระสุคต

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วินัยของพระสุคตเป็นไฉน พระสุคตนั้นย่อมทรงแสดงธรรม อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้คือวินัยของพระสุคต

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสุคตหรือ วินัยของพระสุคต ยังดำรงอยู่ในโลก พึง เป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

13)
เหตุแห่งความเสื่อมของพระสัทธรรม

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม ๔ ประการเป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเล่าเรียนพระสูตร อันเรียนกันมาผิดลำดับ ด้วยบทและ พยัญชนะ ที่ตั้งไว้ผิดแม้อรรถแห่งบท และพยัญชนะ ที่ตั้งไว้ผิด ย่อมมีนัยผิดไปด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อ ความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อม สูญ แห่งพระสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็น ผู้ว่ายาก เป็นผู้ไม่อดทน ไม่รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุนั้นไม่บอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นมรณภาพลง พระสูตร ย่อมมีรากขาดสูญ ไม่มีที่พึ่งอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อ ความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ เป็นผู้มักมาก มีความประพฤติ ย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการก้าวลง ทอดธุระในวิเวก ไม่ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรม ที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง หมู่ชน ผู้เกิดมา ภายหลังย่อมดำเนิน ตามอย่างภิกษุเหล่านั้น แม้ชนผู้เกิดมาภายหลังนั้น ก็เป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการก้าวลง ทอดธุระในวิเวก ไม่ปรารภ ความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งธรรม ที่ยังไม่ทำให้แจ้ง

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

14)
เหตุแห่งความตั้งมั่นของพระสัทธรรม

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนพระสูตร อันเรียนกันมาดี ด้วยบทและพยัญชนะ อันตั้งไว้ดี แม้อรรถแห่งบท และพยัญชนะที่ตั้งไว้ดี ย่อมมีนัยดี ไปด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑ ย่อมเป็นไป เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความ ไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทน รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒ ย่อม เป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

 อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุเหล่านั้น บอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้น มรณภาพ ลง พระสูตรย่อมไม่ขาดมูลเดิม ยังมีที่พึ่งอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่ง พระสัทธรรม

 อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ เป็นผู้ไม่มักมากไม่ประพฤติย่อ หย่อน ทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรม ที่ยัง ไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง หมู่ชน ผู้เกิดมาภายหลังย่อมดำเนิน ตามอย่างภิกษุเหล่านั้นแม้หมู่ชน ผู้เกิดมาภายหลัง เหล่านั้น ก็เป็นผู้ไม่มักมาก ไม่ประพฤติย่อมหย่อนทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้า ในวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๔ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความ ไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

           ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความ ไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์