พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๒
ปริสสูตร
บริษัท ๓ จำพวก
[๕๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๓ จำพวก นี้ ๓ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑.
บริษัทที่แนะนำได้ยาก
๒.
บริษัทที่แนะนำได้ง่าย
๓.
บริษัทที่แนะนำแต่พอประมาณก็รู้ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๓ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๒
มิตตสูตร
มิตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๓
[๕๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ควรคบไว้ องค์ ๓ เป็นไฉน คือ
๑.
ให้สิ่งที่ให้ได้ยาก
๒.
ช่วยทำสิ่งที่ทำได้ยาก
๓.
อดทนสิ่งที่ทนได้ยาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล ควรคบไว้
----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๒-๓๒๓
อุปปาทสูตร
ความเกิดขึ้นแห่งพระตถาคต
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคต ตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตามธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๓-๓๒๔
เกสกัมพลสูตร
วาทะของมักขลิเปรียบเหมือนผ้ากัมพลทอด้วยผมคน
[๕๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้ากัมพลที่ทำด้วยผมมนุษย์ บัณฑิตกล่าวว่าเลวกว่า ผ้าที่ช่างหูกทอแล้วทุกชนิด ผ้ากัมพลที่ทำด้วยผมมนุษย์ในฤดูหนาวก็เย็น ในฤดูร้อน ก็ร้อน สีน่าเกลียด กลิ่นเหม็น สัมผัสไม่สบาย แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาทะของเจ้าลัทธิชื่อว่ามักขลิ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บัณฑิต กล่าวว่า เลวกว่าวาทะของสมณะทุกพวก เจ้าลัทธิชื่อว่ามักขลิเป็นโมฆบุรุษ มีวาทะ อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า กรรมไม่มี กิริยาไม่มี ความเพียรไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มีแล้ว ในอดีตกาล ก็เป็นผู้ตรัสกรรม ตรัสกิริยา และตรัสความเพียร ถึงพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ก็ถูกโมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิคัดค้านว่า กรรมไม่มี กิริยาไม่มี ความเพียรไม่มี แม้พระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จักมีในอนาคตกาล ก็จักเป็นผู้ตรัสกรรมตรัสกิริยา ตรัสความเพียร ถึงพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ก็ถูกโมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิคัดค้านว่า กรรมไม่มี กิริยาไม่มี ความเพียรไม่มี แม้เราผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็กล่าวกรรม กล่าวกิริยา กล่าวความเพียร แม้เราก็ถูกโมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิคัดค้านว่า กรรมไม่มี กิริยาไม่มี ความเพียรไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคล พึงวางไซดักปลาไว้ที่ปากอ่าว เพื่อมิใช่ ประโยชน์เพื่อทุกข์ เพื่อความฉิบหาย เพื่อความพินาศแก่ปลาเป็นอันมาก แม้ฉันใด โมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เป็นเหมือนไซดักมนุษย์ เกิดขึ้นในโลกแล้ว เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ เพื่อความฉิบหาย เพื่อความพินาศแก่สัตว์เป็นอันมาก
----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๔
สัมปทาสูตร
ความถึงพร้อม ๓ อย่าง
[๕๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๓ อย่าง นี้ ๓ อย่างเป็นไฉนคือ
๑.
สัทธาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา
๒.
สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล
๓.
ปัญญาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลายสัมปทา ๓ อย่างนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๔
วุฑฒิสูตร
ความเจริญ ๓ อย่าง
[๕๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วุฑฒิ ๓ อย่าง นี้ ๓ อย่างเป็นไฉนคือ
๑.สัทธาวุฑฒิ ความเจริญแห่งศรัทธา
๒.สีลวุฑฒิ ความเจริญแห่งศีล
๓.ปัญญาวุฑฒิ ความเจริญแห่งปัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วุฑฒิ ๓ อย่างนี้แล
|