พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๔๘-๒๕๐
นิคัณฐสูตร
ว่าด้วยนิครนถนาฏบุตร
[๕๑๔] ๗๕. สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้ เมือง เวสาลี ครั้งนั้นแล เจ้าอภัยลิจฉวีกับเจ้าบัณฑิตกุมารลิจฉวี ได้พากันเข้าไปหา ท่าน พระอานนท์ยังที่อยู่ อภิวาทท่านพระอานนท์แล้ว นั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว เจ้าอภัยลิจฉวี ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นิครณฐนาฏบุตร เป็นคนรู้เห็นธรรมทุกอย่าง ย่อมปฏิญญา ญาณ ทัสสนะ ไว้อย่างไม่มีส่วนเหลือว่า สำหรับเราจะเดิน จะยืน จะหลับและตื่นก็ตาม ญาณทัสสนะก็ปรากฏชั่วกาลนิรันดร เขาบัญญัติว่า กรรมเก่าหมดไปเพราะความเพียร เผา กิเลส ฆ่าเหตุได้ เพราะไม่ทำกรรมใหม่ ด้วยประการฉะนี้จึงเป็นอันว่า เพราะกรรม สิ้นไป ทุกข์จึงหมดไป เพราะทุกข์หมดไป เวทนาจึงสิ้นไป เพราะเวทนาสิ้นไป ทุกข์ ทั้งสิ้นจึงจักเสื่อมไปโดยไม่เหลือ การล่วงทุกข์ย่อมมีได้ด้วยความหมดจด ที่ให้กิเลส เสื่อมไปโดยไม่เหลือ ซึ่งบุคคลจะพึงเห็นเองนี้ ด้วยประการฉะนี้
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในข้อนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้อย่างไร
ท่านพระอานนท์ ตอบว่า ดูกรเจ้าอภัย ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไป โดยไม่เหลือ ๓ อย่างแล พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ ชอบแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อการล่วง ความโศกและความ ร่ำไร เพื่อความเสื่อมสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรม ที่ควรรู้ เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง ความหมดจด ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอไม่ทำกรรมใหม่ด้วย และสัมผัสถูกต้องกรรมเก่าแล้ว ทำให้สิ้นไปโดยคิดเห็นว่า ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ ซึ่งผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง เป็นของไม่ ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ด้วย
๒. ภิกษุนั้นแล ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้แล้ว สงัดจากกาม ฯลฯ เข้าจตุตถฌาน อยู่ เธอไม่ทำกรรมใหม่ด้วย และสัมผัสถูกต้องกรรมเก่าแล้ว ทำให้สิ้นไปโดยคิดเห็นว่า ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไป โดยไม่เหลือ ซึ่งผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง เป็นของไม่ ประกอบ ด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาอันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ด้วย
๓. ภิกษุนั้นแล ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิอย่างนี้แล้ว กระทำให้แจ้ง ซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เธอไม่ทำกรรมใหม่ ด้วยสัมผัสถูกต้องกรรมเก่า แล้วทำให้ สิ้นไปโดยคิดเห็นว่า ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ ซึ่งผู้ได้บรรลุ จะพึงเห็นเอง เป็นของไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ด้วย
ดูกรเจ้าอภัย ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อม โดยไม่เหลือ ๓ อย่างนี้แล อัน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ ชอบแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศก และ ความ ร่ำไร เพื่อความเสื่อมสูญแห่งทุกข์ และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้ เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง เมื่อท่านพระอานนท์ ได้กล่าวอย่างนี้แล้ว เจ้าบัณฑิตกุมารลิจฉวี ได้พูดกะเจ้า อภัยลิจ ฉวีว่า
ดูกรอภัยเพื่อนรัก ทำไมท่านจึงไม่ชื่นชมอนุโมทนา คำสุภาษิตของท่าน พระอานนท์ โดยความเป็นคำสุภาษิตเล่า เจ้าอภัยลิจฉวีตอบว่า เพื่อนรัก ไฉนเราจัก ไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำสุภาษิตของท่านพระอานนท์ โดยความเป็นคำสุภาษิตเล่า ผู้ใดไม่ชื่นชมอนุโมทนา คำสุภาษิตของท่านพระอานนท์ โดยความเป็นคำสุภาษิต ความคิดของผู้นั้นพึงเสื่อม
|