พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๒๓-๒๒๕
กถาวัตถุสูตร
ว่าด้วยเรื่องที่ควรกล่าว
[๕๐๗] ๖๘. ดูกรภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๓ อย่างหนึ่ง ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ๑.พูดถ้อยคำปรารภถึงอดีตกาลว่า อดีตกาล ได้มีแล้วอย่างนี้
๒.พูดถ้อยคำปรารภถึงอนาคตกาลว่า อนาคตกาล จักมีอย่างนี้
๓.พูดถ้อยคำปรารภถึงปัจจุบันกาลว่า ปัจจุบันกาล ย่อมมีอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จะพึงทราบบุคคลว่า ควรพูดหรือไม่ควรพูด ก็ด้วยประชุม สนทนากัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลถูกถามปัญหา ไม่เฉลยโดยส่วนเดียว ซึ่งปัญหา ที่ควรเฉลยโดยส่วนเดียว ไม่จำแนกเฉลย ซึ่งปัญหาที่ควรจำแนก เฉลย ไม่สอบถาม เฉลย ซึ่งปัญหาที่ควรสอบถามเฉลย ไม่หยุดปัญหาที่ควรหยุด เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ควรพูด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่ถ้าบุคคลถูกถามปัญหา ย่อมเฉลยโดยส่วนเดียว ซึ่งปัญหาที่ควรเฉลยโดยส่วนเดียว ย่อมจำแนกเฉลย ซึ่งปัญหาที่ควรจำแนกเฉลย ย่อมสอบถามเฉลย ซึ่งปัญหาที่ควรสอบถามเฉลย ย่อมหยุดปัญหาที่ควรหยุด เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นผู้ควรพูด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จะพึงทราบบุคคลผู้ควรพูดหรือไม่ควรพูด ก็ด้วยประชุม สนทนากัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลเมื่อถูกถามปัญหา ไม่ดำรงอยู่ในฐานะและอฐานะ ไม่ดำรงอยู่ในปริกัป ไม่ดำรงอยู่ในวาทะที่ควรรู้ทั่วถึง ไม่ดำรงอยู่ในปฏิปทา เมื่อเป็น เช่นนี้ บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ควรพูด แต่ถ้าบุคคลเมื่อถูกถามปัญหา ดำรงอยู่ในฐานะ และอฐานะ ดำรงอยู่ในปริกัป ดำรงอยู่ในวาทะที่ควรรู้ทั่วถึง ดำรงอยู่ในปฏิปทา เมื่อเป็นเช่นนี้บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นผู้ควรพูด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จะพึงทราบบุคคลว่า ควรพูดหรือไม่ควรพูด ก็ด้วย ประชุม สนทนากัน ถ้าบุคคลถูกถามปัญหา พูดกลบเกลื่อน พูดนอกเรื่องนอกราว แสดง ความโกรธ ความขัดเคืองและความเสียใจให้ปรากฏ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลนี้ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ควรพูด(ไม่ควรสนทนาด้วย) แต่ถ้าบุคคลเมื่อถูกถามปัญหา ไม่พูดกลบเกลื่อน ไม่พูดนอกเรื่อง นอกราว ไม่แสดงความโกรธ ความขัดเคืองและความเสียใจให้ปรากฏ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลนี้ชื่อว่าควรพูด (ควรสนทนาด้วย)
ดูกรภิกษุทั้งหลายจะพึงทราบบุคคลว่า ควรพูดหรือไม่ควรพูด ก็ด้วยประชุม สนทนากัน ถ้าบุคคลถูกถามปัญหา พูดฟุ้งเฟ้อ พูดวุ่นวาย หัวเราะเยาะ คอยจับผิด เมื่อเป็นเช่นนี้บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ควรพูด แต่ถ้าบุคคลเมื่อถูกถามปัญหา ไม่พูดฟุ้งเฟ้อ ไม่พูดวุ่นวาย ไม่หัวเราะเยาะ ไม่คอยจับผิด เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นผู้ควรพูด
------------------------------------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบบุคคลว่ามีอุปนิสัยหรือว่าไม่มีอุปนิสัย ก็ด้วย ประชุม สนทนากัน ผู้ไม่เงี่ยโสตลงฟัง ชื่อว่าเป็นคนไม่มีอุปนิสัย ผู้ที่เงี่ยโสตลงฟัง ชื่อว่าเป็นคน มีอุปนิสัย เมื่อเขาเป็นผู้มีอุปนิสัย ย่อมจะรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งธรรม อย่างหนึ่ง ย่อมจะ กำหนดรู้ธรรมอย่างหนึ่ง ย่อมจะละธรรมอย่างหนึ่งย่อมจะทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อเขารู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งธรรมอย่างหนึ่งกำหนดรู้ธรรมอย่างหนึ่ง ละธรรมอย่างหนึ่ง ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอย่างหนึ่ง ย่อมจะถูกต้องวิมุตติโดยชอบ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การสนทนามีข้อนี้เป็นประโยชน์ การปรึกษาหารือมีข้อนี้ เป็นประโยชน์ อุปนิสัยมีข้อนี้เป็นประโยชน์ การเงี่ยโสตลงฟังมีข้อนี้เป็นประโยชน์ คือ จิตหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น ชนเหล่าใดเป็นคนเจ้าโทสะ ฟุ้งซ่าน โอ้อวด เจรจา ชนเหล่านั้น มาถึงคุณ ที่มิใช่ ของพระอริยเจ้า ต่างหาโทษ ของกันและกัน ชื่นชมคำ ทุพภาษิต ความพลั้งพลาด ความหลงลืม และความปราชัยของกันและกัน ก็ถ้าบัณฑิต รู้จัก กาลแล้ว พึงประสงค์ จะพูด ควรเป็นคนมีปัญญา ไม่เป็น คนเจ้าโทสะ ไม่โอ้อวด มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ใจเบา หุนหันพลันแล่น ไม่เพ่งโทษ กล่าวแต่ถ้อยคำที่บุคคผู้ตั้งอยู่ใน ธรรมพูดกัน และ ประกอบด้วยธรรมซึ่งพระอริยเจ้าพูดจากัน เพราะรู้ทั่วถึงได้เป็นอย่างดี
ฉะนั้น เขาจึงพาทีได้ บุคคลควรอนุโมทนาคำที่เป็นสุภาษิต ไม่ควรรุกราน ในถ้อยคำ ที่กล่าวชั่ว ไม่ควรศึกษาความแข่งดี และไม่ควรยึดถือความ พลั้งพลาด ไม่ควรทับถม ไม่ควรข่มขี่ ไม่ควรพูดถ้อยคำ เหลาะแหละ เพื่อรู้ เพื่อเลื่อมใส สัตบุรุษ ทั้งหลายจึงมีการ ปรึกษาหารือกัน
พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมปรึกษาหารือกัน เช่นนั้นแล นี้การปรึกษาหารือ ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เมธาวีบุคคลรู้เช่นนี้แล้ว ไม่ควรถือตัว ควรปรึกษาหารือกัน
|