พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๐
เทวทูตวรรคที่ ๔
พรหมสูตร
ว่าด้วยสกุลที่มีพรหม
[๔๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้น มีพรหม สกุลใดบุตร บูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์สกุลใดบุตรบูชา มารดา บิดา ในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล (ผู้ควรบูชา)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์ นี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ
มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ และว่าอาหุไนย บุคคล เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงนมัสการและ สักการะ มารดาบิดา ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การ อบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการ ปรนนิบัติในมารดาบิดา นั้นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาใน โลกนี้เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๐-๑๕๑
อานันทสูตร
พระอานนท์ทูลถามพระผู้มีพระภาค
[๔๗๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกายอันมีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก ไม่พึงมี อหังการ มมังการ และมานานุสัย อนึ่ง อหังการ มมังการ และมานานุสัย ย่อมไม่มี แก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินั้น อยู่ด้วย ประการใด การได้สมาธิด้วยประการนั้นพึงมีแก่ภิกษุหรือหนอ
*
อหังการ หมายถึง การยึดว่าเป็นตัวเรา ความเย่อหยิ่งจองหอง ความทะนงตัว
มมังการ ความสำคัญว่าเป็นของเรา ความถือว่าเป็นของเรา ความยึดถือของจิต
มานานุสัย หมายถึงความถือตัว ความเคยชิน (ว่าเป็นตัวเราของเรา)
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ในกายอันมีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิต ภายนอก ไม่พึงมีอหังการ มมังการ และมานานุสัย อนึ่งอหังการ มมังการ และมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินั้น อยู่ด้วยประการใด การได้สมาธิด้วยประการนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกายอันมีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก ไม่พึงมีอหังการ มมังการ และมานานุสัย อนึ่ง อหังการ มมังการและมานานุสัย ย่อมไม่มี แก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินั้นอยู่ด้วย ประการใด การได้สมาธิด้วยประการนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ
ภ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมคิดเช่นนี้ว่า คุณชาตินี้เป็นที่สงบระงับ ประณีต คือ ความสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิทั้งมวลธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส ความดับสนิท นิพพาน
ดูกรอานนท์ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก ไม่พึงมีอหังการ มมังการและมานานุสัย อนึ่ง อหังการ มมังการ และมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เข้า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติและปัญญาวิมุตินั้นอยู่ด้วยประการใด การได้สมาธิด้วยประการนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้ด้วยประการฉะนี้แล ก็แหละเราหมาย เอาเช่นนี้ ได้ภาษิตไว้แล้วในปุณณกปัญหาในปารายนสูตร ดังนี้ว่า
บุคคลใดรู้อัตภาพของผู้อื่น และอัตภาพของตนเป็นต้นในโลก ไม่มีกิเลส เป็นเหตุ ให้หวั่นไหวในโลกไหนๆ เรากล่าวว่า บุคคลนั้น สงบระงับแล้ว ไม่มีทุจริต อันทำให้จิตกลุ้มมัวดุจ ควันไฟ ไม่มีกิเลสอันกระทบใจ หาความทะเยอทะยานมิได้ ห้ามชาติและชราได้แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๑-๑๕๒
สารีปุตตสูตร
พระสารีบุตรกราบทูลพระผู้มีพระภาค
[๔๗๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร เราพึงแสดงธรรมโดยสังเขปก็มี โดยพิสดารก็มี ทั้งโดยสังเขป และพิสดารก็มี แต่บุคคลผู้ที่จะรู้ทั่วถึงธรรมหาได้ยาก ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้ เป็นการสมควรที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรง แสดงธรรมโดยสังเขปบ้าง โดยพิสดารบ้าง ทั้งโดยสังเขป ทั้งโดยพิสดารบ้าง จักมีผู้ที่รู้ ทั่วถึงธรรมได้
ภ. ดูกรสารีบุตร เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายควรศึกษาอย่างนี้ว่าในกาย อันมีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก จักไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย อนึ่ง อหังการ มมังการ และมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติปัญญาวิมุติอยู่ เราจัก เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินั้นอยู่
ดูกรสารีบุตร เธอทั้งหลายควรศึกษาอย่างนี้แล เพราะภิกษุไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก กับภิกษุที่เข้าถึง เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ซึ่งเป็นที่ไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ภิกษุนี้เรากล่าว ว่า ตัดตัณหา ถอนสังโยชน์ทิ้งกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะการรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยการละมานะโดยชอบดูกรสารีบุตร ก็เราหมายเอาข้อนี้ ได้กล่าวไว้ในอุทยปัญหา ในปารายนสูตร ดังนี้ว่า
เรากล่าวธรรมสำหรับ ละกามสัญญา และโทมนัสทั้งสอง และธรรมเป็นเหตุ บรรเทาความง่วง และธรรมเป็นเครื่องห้าม กันความรำคาญ อันมีอุเบกขากับสติ เป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ มีความตรึกประกอบด้วยธรรมแล่นไปในเบื้องหน้าว่า เป็นธรรม สำหรับทำลายล้างอวิชชา เป็นเครื่องพ้นกิเลสด้วยปัญญา ที่รู้ทั่วถึง |