พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๖-๑๑๗
สิกขาสูตร
[๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก เป็นไฉน คือ
- ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นจำพวก ๑
- ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนจำพวก ๑
- ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ผู้อื่นจำพวก ๑
- ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ ผู้อื่นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการฆ่าสัตว์ เป็นผู้งดเว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการลักทรัพย์ เป็นผู้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการประพฤติผิดในกาม เป็นผู้งดเว้น จาก การพูดเท็จด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการพูดเท็จ เป็นผู้งดเว้นจาก การดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวน ผู้อื่น ให้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท บุคคลเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ตนอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง แต่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่ง ความประมาทด้วยตนเอง แต่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท บุคคลผู้ปฏิบัต ิเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ผู้อื่น อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ด้วยตนเอง ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่น ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ฯลฯ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการ ดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทด้วยตนเอง ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่น ให้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท บุคคลเป็นผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ ผู้อื่นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ทั้งชักชวน ผู้อื่นให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทด้วยตนเอง ทั้งชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุรา และเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท บุคคลเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๗-๑๑๙
โปตลิยสูตร
[๑๐๐] ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่อโปตลิยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามโปตลิยปริพาชกว่า
ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร เป็นผู้ไม่กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญ ตามความ เป็นจริง โดยกาลอันควร ไม่กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาล อันควรจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรทั้งไม่กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาล อันควรจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งเป็นผู้กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาล อันควรจำพวก ๑
ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
ดูกรโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้แล ท่านชอบใจบุคคลจำพวกไหนว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่า โปตลิยปริพาชกกราบทูลว่า ท่านพระโคดมบุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร แต่ไม่กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาล อันควรจำพวก ๑ ฯลฯ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งเป็นผู้กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้าพเจ้าชอบใจบุคคลผู้ไม่กล่าวติเตียน บุคคล ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และไม่กล่าวสรรเสริญบุคคล ที่ควร สรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ อุเบกขา
พ. ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ฯลฯ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าวติเตียนบุคคลที่ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และผู้สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาล อันควรนี้ เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมี ความงาม คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรติเตียนและสรรเสริญนั้นๆ
โป. ท่านพระโคดม บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯลฯ ท่านพระโคดม บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้าพเจ้าชอบใจบุคคลที่กล่าวติเตียนบุคคล ที่ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ ตามความ เป็นจริง โดยกาลอันควรว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ ความเป็นผู้รู้กาลในอันติเตียน และสรรเสริญ นั้นๆ
ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือน บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในเวลา มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้ง พระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
|