พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓๕ - ๓๓๙
อานันทสูตรที่ ๑
ว่าด้วยปัญหาของพระอานนท์
[๑๓๘๐] พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอย่างหนึ่งอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังธรรม ๔ ข้อให้บริบูรณ์ ธรรม ๔ ข้ออันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังธรรม ๗ ข้อให้บริบูรณ์ธรรม ๗ ข้อ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังธรรม ๒ ข้อให้บริบูรณ์ มีอยู่หรือหนอ? พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีอยู่ อานนท์
[๑๓๘๑] อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรมอย่างหนึ่ง อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังธรรม ๔ ข้อให้บริบูรณ์ ธรรม ๔ ข้อให้บริบูรณ์ ธรรม ๔ ข้อ ... ธรรม ๗ ข้ออันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังธรรม ๒ ข้อให้บริบูรณ์ เป็นไฉน?
พ. ดูกรอานนท์ ธรรมอย่างหนึ่ง คือ สมาธิอันสัมปยุต ด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์
[๑๓๘๒] ดูกรอานนท์ ก็สมาธิอันสัมปยุต ด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว อย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ที่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะ หน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า จักพิจารณาเห็น โดยความสละคืน หายใจออกย่อมรู้ชัดว่า จักพิจารณาเห็น โดยความสละคืน หายใจเข้า
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เห็นกาย โดยนัยะแห่งอานาปานสติ
ในสมัยใด ภิกษุ
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว
หรือ เมื่อหายใจ เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
หรือเมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น ฯลฯ
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเรากล่าว กายอันหนึ่ง ในบรรดากายทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ลมหายใจออก และลมหายใจเข้า
เพราะฉะนั้น แหละ อานนท์ ในสมัยนั้นภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้
(รู้สึกถึงลมที่เข้า-ออก คือเห็นกาย)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เห็นเวทนา โดยนัยะแห่งอานาปานสติ
[๑๓๘๓] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุ
ย่อมสำเหนียกว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ... หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก ... หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขาร หายใจออก ... หายใจเข้า
ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเรากล่าวเวทนา อันหนึ่งในบรรดาเวทนาทั้งหลาย ซึ่งได้แก่การกระทำไว้ในใจให้ดี ซึ่งลมหายใจออก และลมหายใจเข้า
เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ ในสมัยนั้นภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้
(รู้สึกถึงปิติ คือเห็นเวทนา)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เห็นจิต โดยนัยะแห่งอานาปานสติ
[๑๓๘๔] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุ
ย่อมสำเหนียกว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออก ... หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก ... หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักตั้งจิตมั่น หายใจออก ... หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิต หายใจออก ...หายใจเข้า
ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติพึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเราไม่กล่าวซึ่งการเจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วย อานาปานสติ สำหรับผู้มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ
เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ ในสมัยนั้นภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติพึงกำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
(รู้จิตเกิดดับ รู้จิตตั้งมั่น คือเห็นจิต)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เห็นธรรม โดยนัยะแห่งอานาปานสติ
[๑๓๘๕] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุ
ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาเห็น โดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก.. หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาเห็น โดยความคลายกำหนัด หายใจออก ... หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาเห็น โดยความดับ หายใจออก ...หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาเห็น โดยความสละคืน หายใจออก ... หายใจเข้า
ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสนั้น ด้วยปัญญา จึงวางเฉยเสียได้เป็นอย่างดี
เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ ในสมัยนั้นภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
(เห็นความไม่เที่ยงของจิต คือรู้ธรรม)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๓๘๖] ดูกรอานนท์ สมาธิอันสัมปยุต ด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว อย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
[๑๓๘๗] ดูกรอานนท์ ก็สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้ มากแล้วอย่างไร ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์? ในสมัยใด ภิกษุย่อมพิจารณา เห็น กายในกายอยู่ในสมัยนั้น สติของเธอย่อมตั้งมั่น ไม่หลงลืม ในสมัยใด สติของภิกษุ ตั้งมั่น ไม่หลงลืมในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อม เจริญสติสัมโพชฌงค์ ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ แก่ภิกษุ ในสมัยนั้น เธอมีสติอยู่อย่างนั้นย่อมค้นคว้า พิจารณาสอดส่องธรรมนั้น ด้วยปัญญา
[๑๓๘๘] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุมีสติอยู่อย่างนั้น ย่อมค้นคว้าพิจารณา สอดส่องธรรมนั้นด้วยปัญญา ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุ ปรารภแล้วภิกษุย่อมเจริญ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ เมื่อเธอค้นคว้า พิจารณาสอดส่องธรรมนั้น ด้วย ปัญญา เป็นอันชื่อว่า ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน
[๑๓๘๙] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด เมื่อภิกษุค้นคว้าพิจารณาสอดส่องธรรมนั้น ด้วยปัญญา เป็นอันชื่อว่า ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ในสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึง ความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติอันหาอามิสมิได้ ย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
[๑๓๙๐] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ปีติอันหาอามิสมิได้ ย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ปรารภ ความเพียร ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ แม้กายของภิกษ ุผู้มีใจ เอิบอิ่มด้วยปีติก็ย่อมสงบ แม้จิตก็ย่อมสงบ
[๑๓๙๑] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด แม้กายของภิกษุผู้มีใจเอิบอิ่ม ด้วยปีติก็ย่อม สงบ แม้จิตก็ย่อมสงบ ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ แก่ภิกษุ จิตของภิกษุผู้มีกายสงบ มีความสุข ย่อมตั้งมั่น
[๑๓๙๒] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายสงบ มีความสุข ย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อม เจริญสมาธิ สัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอย่อมเพ่งดูจิต ซึ่งตั้งมั่น อย่างนั้นอยู่ด้วยดี
[๑๓๙๓] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุย่อมเพ่งดูจิตซึ่งตั้งมั่น อย่างนั้นอยู่ด้วยดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมเจริญอุเบกขา สัมโพชฌงค์อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ
[๑๓๙๔] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ... เห็นจิตในจิต ... เห็นธรรมในธรรม ในสมัยนั้น สติของเธอย่อมตั้งมั่น ไม่หลงลืม
[๑๓๙๕] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด สติของภิกษุย่อมตั้งมั่น ไม่หลงลืม ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ (พึงขยายเนื้อความให้พิสดาร เหมือน สติปัฏฐานข้อต้น) เธอย่อมเพ่งดูจิตซึ่งตั้งมั่น อย่างนั้นอยู่ด้วยดี
[๑๓๙๖] ดูกรอานนท์ ในสมัยใด ภิกษุย่อมเพ่งดูจิต ซึ่งตั้งมั่นอย่างนั้นอยู่ด้วยดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ชื่อว่า เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมเจริญอุเบกขา สัมโพชฌงค์อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์แก่ภิกษุ
[๑๓๙๗] ดูกรอานนท์ สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มาก แล้ว อย่างนี้ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์
[๑๓๙๘] ดูกรอานนท์ ก็โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มาก แล้วอย่างไร ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติ สัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ย่อมเจริญ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ...วิริยสัมโพชฌงค์ ... ปีติสัมโพชฌงค์ ... ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ... สมาธิสัมโพชฌงค์ ...อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ดูกรอานนท์โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมยังวิชชา และวิมุติให้บริบูรณ์
|